NLP คืออะไร? เทคโนโลยีที่ทำให้คอมพิวเตอร์เข้าใจมนุษย์

Riki Kimura wisible author

Riki Kimura

Digital Marketing Executive at Wisible

NLP คือ
NLP คืออะไร? เทคโนโลยีที่ทำให้คอมพิวเตอร์เข้าใจมนุษย์

สมัยก่อนเวลาเราต้องการหาข้อมูลบางอย่างบน Google, บ่อยครั้งที่ต้องพิมพ์คำค้นหาให้แม่นยำมากๆ ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ แต่ปัจจุบันนี้ Google ฉลาดขึ้นเยอะเลยนะครับ คุณเคยสังเกตไหมว่าเราพิมพ์คำว่า “หนังสืออร่อยยะ” แทนที่จะเป็น “หนังสืออร่อยนะ” มันก็ยังรู้ว่าเราต้องการหาหนังสือเกี่ยวกับการทำอาหาร นั่นก็เพราะเทคโนโลยี Natural Language Process หรือ NLP ที่ช่วยให้เครื่องจักรสามารถเข้าใจภาษาของเราได้ดีขึ้น

NLP คืออะไร
NLP คืออะไร?

NLP คืออะไร?

การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) หรือ NLP คือสาขาหนึ่งของวิทยาการคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เกี่ยวข้องกับการทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจ, ตีความ, และตอบสนองต่อภาษามนุษย์ในรูปแบบที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้ ความสามารถนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราโต้ตอบกับเครื่องจักรได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เครื่องจักรสามารถช่วยเราในการทำงานต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เกี่ยวข้องกับภาษาในเวลาอันรวดเร็ว จากการช่วยเสริมในการตัดสินใจของธุรกิจไปจนถึงการให้บริการลูกค้าอัตโนมัติ, NLP มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวิธีที่เราโต้ตอบกับเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน

NLP ทำงานยังไง?

NLP หรือ Natural Language Processing ไม่ได้เป็นเพียงการเก็บข้อมูลและทำความเข้าใจเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจภาษาของเราได้เสมือนมนุษย์จริงๆ NLP จะจัดการกับข้อมูลภาษาที่มีทั้งแบบมีโครงสร้าง (เช่น ฟอร์มการกรอกข้อมูล) และไม่มีโครงสร้าง (เช่น บทสนทนาปกติที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน) ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและตอบสนองได้อย่างเหมาะสม นี่คือหัวใจหลักของการทำงานของ NLP ที่ทำให้มันไม่เหมือนกับเทคโนโลยีอื่นๆ โดยเริ่มต้นจากขั้นตอนดังนี้

  1. การแปลงข้อมูล: NLP เริ่มต้นด้วยการแปลงข้อความเข้าสู่รูปแบบที่สามารถประมวลผลได้ ซึ่งอาจรวมถึงการแยกคำ (Tokenization), การทำความสะอาดข้อความ (Text Cleaning), การแยกวิเคราะห์ชนิดของคำ (Part-Of-Speech tagging), และการลบคำที่ไม่จำเป็น (Stop word removal),
  2. แปลงคำให้อยู่ในรูปแบบรากศัพท์ (Lemmetization): ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างคุณลักษณะจากข้อความที่ได้จากการแปลงข้อมูล เพื่อใช้ในการฝึกฝนโมเดล เช่น การแยกคำสำคัญ และการสร้างเวกเตอร์คำ
  3. การฝึกโมเดล: ใช้ข้อมูลที่มีการประมวลผลแล้วเพื่อฝึกฝนโมเดลแมชชีนเลิร์นนิงหรือเครือข่ายประสาทเทียม ตัวอย่างเช่น โมเดลสำหรับการจำแนกประเภทความรู้สึกหรือการตอบกลับคำถาม
  4. การประเมินและปรับปรุง: หลังจากฝึกโมเดลแล้ว จะมีการทดสอบโมเดลเพื่อดูว่าแม่นยำแค่ไหนและสามารถตอบสนองความต้องการได้ดีหรือไม่ การปรับปรุงโมเดลอาจจะตามมาหากมีความจำเป็น
NLP ทำงานยังไง
การทำงานของ NLP

เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ให้คิดถึงเครื่องมือแปลภาษาออนไลน์ เมื่อคุณใส่ข้อความภาษาหนึ่งแล้วได้ข้อความอีกภาษาหนึ่งออกมา นั่นคือผลจากกระบวนการ NLP ที่ได้รับการฝึกฝนและปรับปรุงมาอย่างดีเพื่อให้เข้าใจและสร้างภาษาของมนุษย์ให้ดีขึ้น

NLP ต่างจาก AI ยังไง?

บ่อยครั้งเวลาคุยกับเพื่อนหรือคนที่ไม่ได้อยู่ในสายเทคโนโลยี มักจะมีคำถามโผล่มาว่า “NLP กับ AI นี่มันต่างกันยังไง?” จริงๆแล้วทั้ง 2 อย่างที่พูดมากนี้มันคือเรื่องเดียวกันครับ ผมมักจะอธิบายแบบง่าย ๆ ว่า AI หรือปัญญาประดิษฐ์ มันเหมือน “สมองกล” ที่ทำงานแทนมนุษย์ได้หลากหลาย ตั้งแต่คิดคำนวณ แก้ปัญหา จนถึงเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เรียกง่าย ๆ ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้เครื่องจักร “ฉลาดขึ้น” เราจะเรียกมันว่า AI

แต่ NLP หรือ Natural Language Processing เป็นแค่ “ส่วนหนึ่ง” ของ AI ที่เน้นไปที่ภาษามนุษย์โดยเฉพาะ. ลองนึกภาพเวลาคุณคุยกับ Siri หรือ Google Assistant มันฟังสิ่งที่เราพูดออกมา แยกแยะคำ จับใจความ แล้วตอบกลับเราได้อย่างถูกต้อง นั่นแหละครับคือ NLP ทำงานอยู่เบื้องหลัง

พูดให้เห็นภาพง่าย ๆ คือ AI เป็นเหมือนสมองกว้าง ๆ ที่ทำอะไรได้หลายอย่าง ส่วน NLP เป็นสมองที่เน้นเรื่อง “ภาษา” โดยเฉพาะ ซึ่งทำให้เครื่องจักรเข้าใจและสื่อสารกับเราได้ดีขึ้น

การประยุกต์ใช้ NLP ในชีวิตประจำวัน

หลายคนอาจไม่รู้ว่าเรากำลังใช้ NLP กันอยู่ทุกวันแบบไม่รู้ตัว ผมเองก็เพิ่งมาสังเกตว่าหลายสิ่งที่เราใช้อยู่เป็นประจำ มันทำงานด้วย เจ้าNLP นี่แหละ ยกตัวอย่างเช่น

google translate
Google Translate
  1. ระบบแปลภาษาอัตโนมัติ: อย่าง Google Translate ที่หลายคนคงใช้กันบ่อย เวลาคุณใส่ข้อความภาษาไทยแล้วให้มันแปลเป็นภาษาอังกฤษ ระบบจะใช้ NLP วิเคราะห์คำและบริบทในประโยค เพื่อให้แปลออกมาได้ใกล้เคียงและอ่านรู้เรื่องมากที่สุด ซึ่งเดี๋ยวนี้มันเก่งขึ้นเยอะเลยครับ แปลประโยคยาว ๆ ได้ดีขึ้นแบบเห็นได้ชัด
  2. ผู้ช่วยอัจฉริยะในมือถือ: พวก Siri, Google Assistant, หรือ Alexa ที่เราคุยด้วย เวลาคุณสั่งว่า “พรุ่งนี้มีนัดกี่โมง” หรือ “เปิดเพลงให้หน่อย” ระบบ NLP จะช่วยแปลงคำพูดของเราให้กลายเป็นข้อมูลที่เข้าใจได้ แล้วมันก็หาคำตอบหรือตอบสนองได้ทันที
  3. แชทบอทตอบลูกค้า: เคยสังเกตไหม เวลาที่เราแชทกับเพจร้านค้า แล้วมีบอทตอบกลับอัตโนมัติ เช่น ถามว่า “มีไซซ์ M มั้ย?” บอทก็จะเข้าใจคำถามและตอบกลับทันทีว่า “มีครับ/ค่ะ” หรือให้ข้อมูลเพิ่มเติม นี่แหละครับ NLP ทำให้บอทเข้าใจภาษาที่มนุษย์ใช้จริง ๆ และตอบสนองได้ตรงประเด็น
  4. การวิเคราะห์ความรู้สึก: สมมติว่าแบรนด์ต้องการรู้ว่าลูกค้าพูดถึงสินค้าของตัวเองในทางบวกหรือลบ NLP จะเข้าไปอ่านคอมเมนต์ต่าง ๆ ตามโซเชียลมีเดีย แล้วบอกได้ว่าข้อความไหนเป็นคำชม หรือข้อความไหนมีปัญหาที่ต้องรีบแก้ไข ผมเคยทำโปรเจกต์นี้มาก่อน ข้อมูลมันช่วยให้เรารู้ว่าลูกค้าคิดยังไงกับแบรนด์แบบชัดเจนสุด ๆ เลยครับ
  5. ระบบตรวจสะกดคำ: อย่างเวลาเราพิมพ์ผิดใน Word หรือแอปต่าง ๆ แล้วมันขึ้นขีดเส้นแดงแจ้งเตือน หรือแม้แต่การแนะนำคำที่เราตั้งใจจะพิมพ์ผิด ๆ ใน Google อันนี้ก็ใช้ NLP ช่วยวิเคราะห์และแก้ไขให้เราทันที
  6. แชทบอทและระบบจัดการลูกค้า (Sales CRM): สำหรับธุรกิจที่ใช้ Sales CRM ในการบริหารทีมขายและดูแลลูกค้า NLP มีบทบาทสำคัญในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการสนทนาระหว่างทีมขายกับลูกค้า ตัวอย่างเช่น ระบบสามารถดึงบทสนทนาหรืออีเมลมาวิเคราะห์ได้ว่าลูกค้ามีความสนใจมากแค่ไหน หรือกำลังติดปัญหาอะไรอยู่ นอกจากนี้ NLP ยังช่วยแยกแยะ “เจตนาของลูกค้า” เช่น ลูกค้าถามข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า การขอใบเสนอราคา หรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ระบบก็สามารถช่วยแจ้งเตือนทีมขายให้เข้ามาดูแลอย่างทันท่วงที เทคโนโลยีนี้ทำให้การทำงานของทีมขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้ลูกค้าได้รับการดูแลที่ตรงจุดและรวดเร็วกว่าเดิม ซึ่งปัจจุบัน Wisible เองก็ได้มีการนำ AI ตัวนี้มาใช้งานบนระบบเป็นที่เรียบร้อย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับเซลล์
    หากท่านใดสนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์นี้

จริง ๆ แล้วการใช้งาน NLP มีเยอะกว่านี้มาก แต่แค่ตัวอย่างที่ยกมา ก็เห็นได้ชัดเลยว่าเทคโนโลยีนี้เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเราจริง ๆ โดยที่บางทีเราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำครับ

เทคโนโลยี AI ประเภทใดที่มักใช้ใน NLP?

หลายคนอาจสงสัยว่า เบื้องหลังความเก่งของ NLP มันใช้เทคโนโลยีอะไรกันแน่? จริง ๆ แล้ว NLP ทำงานโดยอาศัยเทคโนโลยี AI หลายประเภทครับ แต่หลัก ๆ ที่เห็นได้ชัดมีประมาณนี้:

Machine Learning (การเรียนรู้ของเครื่อง)

พูดง่าย ๆ คือ การสอนให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมาก ๆ ยิ่งมีข้อมูลเยอะ ระบบก็ยิ่งฉลาดขึ้น เช่น เวลาที่แชทบอทตอบคำถามลูกค้า มันจะดูว่าคำถามไหนควรตอบว่าอะไร และปรับให้แม่นยำขึ้นตามข้อมูลที่มันเรียนรู้ ซึ่ง Machine Learning นี่แหละครับที่ทำให้ NLP พัฒนาไปได้เรื่อย ๆ เหมือนเราเลี้ยงเด็กให้เรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา

Deep Learning (การเรียนรู้เชิงลึก)

ถ้า Machine Learning เป็นเหมือนเด็กเรียนรู้จากการดูข้อมูลจำนวนมาก Deep Learning ก็เหมือนเด็กที่เรียนรู้แบบลึกซึ้งขึ้น เพราะมันใช้ “เครือข่ายประสาทเทียม” (Neural Networks) ที่เลียนแบบการทำงานของสมองคนเรา ข้อมูลที่ใส่เข้าไปจะถูกประมวลผลผ่านหลายชั้น เช่น แยกคำ, เข้าใจบริบท และเชื่อมโยงความหมาย ตัวอย่างง่าย ๆ คือระบบแปลภาษาอัตโนมัติ ที่แปลได้สมูทและเข้าใจบริบทมากขึ้น เพราะมันใช้ Deep Learning วิเคราะห์ประโยคทั้งประโยค ไม่ใช่แค่คำต่อคำ

เทคนิคการประมวลผลคำ (Natural Language Understanding – NLU)

ตรงนี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ NLP เข้าใจภาษามนุษย์ได้ดีขึ้น เพราะมันช่วยให้ระบบเข้าใจความหมายของคำที่เราใช้ ไม่ใช่แค่อ่านตัวอักษร ตัวอย่างเช่น เวลาคุณพิมพ์ว่า “ร้านกาแฟที่ใกล้ที่สุด” ระบบก็จะเข้าใจทันทีว่าคุณกำลังถามหาอะไร ไม่ใช่คิดแค่ว่า “ร้าน” กับ “กาแฟ” เป็นแค่คำแยกกัน

เทคนิคการสร้างข้อความ (Natural Language Generation – NLG)

ส่วนนี้เป็นเทคนิคที่ทำให้ระบบสามารถ “เขียนข้อความ” หรือ “สร้างประโยค” ขึ้นมาได้เอง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเวลาเราคุยกับแชทบอท แล้วบอทตอบกลับมาเหมือนคุยกับคนจริง ๆ หรือแม้แต่เครื่องมือสร้างบทความอัตโนมัติที่หลายคนเริ่มใช้งานกัน นี่ก็ใช้ NLG เป็นหลักครับ

สรุปง่าย ๆ คือ NLP มันจะเก่งได้ก็เพราะเทคโนโลยีพวกนี้แหละครับ โดยเฉพาะ Machine Learning และ Deep Learning ที่เป็นหัวใจสำคัญ ทำให้คอมพิวเตอร์ไม่แค่ “อ่าน” ภาษาได้ แต่ยัง “เข้าใจ” และ “สร้างภาษา” ได้เหมือนคนเราจริง ๆ นี่แหละครับที่ทำให้ NLP เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อจำกัดของ NLP

แม้ว่า NLP จะฉลาดและพัฒนาไปไกลมากแล้ว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่ทำให้บางครั้งมันไม่ “เป๊ะ” อย่างที่เราคาดหวังไว้ ข้อจำกัดหลัก ๆ ที่ผมเจอหรือได้ยินมามีประมาณนี้ครับ:

อคติจากข้อมูล (Bias)

ข้อนี้สำคัญมาก ๆ เลยครับ เพราะ NLP เรียนรู้จากข้อมูลที่คนป้อนเข้าไป ถ้าข้อมูลนั้นมีอคติ เช่น ข้อมูลที่มีความลำเอียงทางเพศ, เชื้อชาติ, หรือความคิด ระบบ NLP ก็อาจสะท้อนอคตินั้นออกมาโดยไม่ตั้งใจ เช่น การสร้างข้อความที่ดูไม่เหมาะสม หรือการวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่เป็นกลาง

ความเข้าใจบริบทที่ซับซ้อน

เวลาคนเราคุยกัน เรามักใช้คำที่มีความหมายหลายนัย หรือบางครั้งก็พูดกันแบบอ้อม ๆ เช่น ถ้าเพื่อนบ่นว่า “ร้านนี้ช้ามาก” มันอาจหมายถึงอาหารช้า หรือบริการไม่ดี แต่ NLP ยังไม่เก่งเรื่องจับ ความหมายที่ซ่อนอยู่ เหล่านี้เท่ามนุษย์ เพราะมันมักจะมองที่คำตรง ๆ มากกว่าบริบทที่อยู่รอบข้าง

การจัดการกับภาษาพูดและคำผิด

เวลาเราพิมพ์แชทคุยกันเร็ว ๆ หรือพูดคำไม่ค่อยชัด ระบบ NLP อาจทำงานได้ไม่แม่นยำนัก เช่น คำว่า “ไปไหนมา?” ถ้าออกเสียงไม่ชัดหรือพิมพ์ผิดเป็น “ไปไหนม่า?” บางครั้งระบบก็ไม่เข้าใจ ทำให้เกิดความผิดพลาดในการประมวลผลได้ง่าย

การทำงานกับภาษาไทย

ภาษาไทยเป็นอีกหนึ่งภาษาที่ท้าทายสำหรับ NLP เพราะไม่มีการเว้นวรรคระหว่างคำเหมือนภาษาอังกฤษ เช่น ประโยค “ปากกาอยู่บนโต๊ะ” ระบบต้องวิเคราะห์ให้ถูกว่า “ปากกา” กับ “อยู่บนโต๊ะ” แยกกันตรงไหน บางครั้งก็ยังแยกผิด หรือเข้าใจคำในบริบทผิดไปเลย

คำสแลงและภาษาถิ่น

อีกปัญหาคือคำสแลงหรือภาษาถิ่นที่คนใช้กันในชีวิตประจำวัน เช่น คำว่า “โคตรเจ๋ง” หรือ “บ้ง” ที่เป็นคำฮิตในยุคนี้ ถ้า NLP ไม่ได้ถูกฝึกมาด้วยข้อมูลใหม่ ๆ มันก็อาจไม่เข้าใจว่าคำเหล่านี้หมายถึงอะไร ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลผิดพลาดได้ง่าย


จากที่เล่ามาทั้งหมด จะเห็นได้ว่า NLP หรือ Natural Language Processing เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนวิธีที่เราสื่อสารกับเครื่องจักรไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่ว่าจะเป็นการใช้แชทบอท, ระบบแปลภาษา, หรือผู้ช่วยดิจิทัล มันทำให้ทุกอย่างสะดวกและใกล้เคียงการคุยกับคนจริง ๆ มากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเข้าใจบริบทซับซ้อน, คำผิด, คำสแลง หรือแม้กระทั่งปัญหาอคติจากข้อมูลที่มันเรียนรู้

แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นก็คือ NLP กำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ในอนาคตเราอาจได้เห็นระบบที่เข้าใจภาษามนุษย์ได้แบบไร้ที่ติ ทั้งคำพูด, น้ำเสียง, และเจตนาที่ซ่อนอยู่ ซึ่งจะทำให้เครื่องจักรกับคนทำงานร่วมกันได้แบบสมูทมากขึ้น และผมเชื่อว่ามันจะเข้ามาช่วยทำให้ชีวิตและธุรกิจของเราง่ายขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวแน่นอนครับ

demo booking

รับข่าวสารและโปรโมชั่นสุดพิเศษ

กรอกอีเมลเพื่อรับข่าวสารและกิจกรรมพิเศษ

Similar Posts