Sales Tool คืออะไร? แนะนำเครื่องมือที่ทุกธุรกิจต้องมี

Riki Kimura wisible author

Riki Kimura

Digital Marketing Executive at Wisible

Header Image with the Text "Sales Tool คืออะไร? แนะนำเครื่องมือที่ทุกธุรกิจต้องมี"

ในยุคที่ผู้บริโภคคาดหวังความรวดเร็วและความแม่นยำ ธุรกิจต่าง ๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ในการทำยอดขาย ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันสูงหรือพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

เทคโนโลยี Sales Tool (เครื่องมือการขาย )จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ ช่วยให้ทีมขายตอบสนองต่อความต้องการได้ทันเวลา เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย และยังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับลูกค้า

คุณรู้หรือไม่ว่า 70% ของลูกค้ามักเลือกซื้อจากธุรกิจที่ตอบสนองเร็วที่สุด? เครื่องมือ Sales Tool ที่ดีช่วยให้คุณตอบกลับได้เร็วขึ้น จัดการดีลได้มีประสิทธิภาพขึ้น และที่สำคัญ ทำให้ทีมขายมีเวลามากขึ้นในการโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญที่สุด

Sales Tools

Sales Tool หรือ เครื่องมือการขาย คืออะไร?

Sales Tool หรือ เครื่องมือการขาย คือเครื่องมือหรือซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ทีมขายทำงานได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการข้อมูลลูกค้า การติดตามดีล การสื่อสารกับลูกค้า หรือแม้กระทั่งการสร้างรายงานวิเคราะห์ยอดขาย ทุกฟีเจอร์เหล่านี้มีเป้าหมายเดียวกัน คือช่วยให้ทีมขายสามารถโฟกัสกับการปิดดีลและสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้าได้มากขึ้น

ในยุคปัจจุบัน การพึ่งพาเฉพาะวิธีการขายแบบดั้งเดิม เช่น การโทรหาลูกค้า หรือการจดบันทึกข้อมูลเอง อาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะการทำงานที่รวดเร็วและแม่นยำกลายเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มยอดขาย นี่คือจุดที่ เครื่องมือการขาย เข้ามามีบทบาทสำคัญ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ทีมขายติดตามข้อมูลทุกอย่างได้ในที่เดียว ลดความซับซ้อนในการทำงาน และยังช่วยให้การตัดสินใจเร็วขึ้นจากข้อมูลที่วิเคราะห์แล้ว

ประเภทของ Sales Tools

  1. CRM (Customer Relationship Management):
    เป็นเครื่องมือที่ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้า เช่น ประวัติการติดต่อ การสั่งซื้อ และข้อเสนอที่กำลังดำเนินการ ทำให้ทีมขายมีข้อมูลเชิงลึกเพื่อติดตามและจัดการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. Automation Tools:
    ช่วยลดงานซ้ำซาก เช่น การส่งอีเมลหรือข้อความติดตามลูกค้าแบบอัตโนมัติ ทำให้ทีมขายไม่ต้องเสียเวลากับงานที่ต้องทำซ้ำบ่อย ๆ
  3. Lead Management Tools:
    ช่วยให้ทีมขายติดตามและจัดลำดับความสำคัญของลูกค้าเป้าหมาย (Lead) ได้ง่ายขึ้น เพื่อให้ไม่พลาดโอกาสในการปิดดีล
Sales Tools vs Marketing Tools

Sales Tool vs Marketing Tool ต่างกันอย่างไร?

หลายคนอาจสงสัยว่า Sales Tools กับ Marketing Tools ต่างกันตรงไหน แม้ทั้งสองจะมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขาย แต่เครื่องมือเหล่านี้เน้นการทำงานต่างกัน

  • Marketing Tools มุ่งเน้นที่การสร้างความสนใจและดึงดูดลูกค้าใหม่ เช่น การทำโฆษณาออนไลน์หรือแคมเปญการตลาด
  • Sales Tools เน้นการจัดการลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อและช่วยปิดการขาย รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า

ดังนั้น Sales Tool ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับจัดการกระบวนการขาย แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ทีมขายทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อใช้งานร่วมกับ Marketing Tools ได้อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยสร้างกระบวนการขายที่สมบูรณ์และทรงพลังยิ่งขึ้น

ประเภทของ Sales Tool ที่สำคัญในโลกธุรกิจ

เครื่องมือ Sales Tool มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละประเภทถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์งานขายในมุมที่แตกต่างกัน การเลือกใช้อย่างเหมาะสมกับธุรกิจของคุณจะช่วยให้ทีมขายทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. CRM (Customer Relationship Management)

CRM คือเครื่องมือที่ช่วยเก็บและจัดการข้อมูลลูกค้าทั้งหมด เช่น ข้อมูลการติดต่อ ประวัติการสั่งซื้อ และรายละเอียดการสื่อสารที่ผ่านมา เป้าหมายหลักของ CRM คือการทำให้ทีมขายรู้จักลูกค้าได้ลึกซึ้งขึ้น สามารถตอบสนองความต้องการได้ตรงจุด

ยิ่งข้อมูลของลูกค้าอยู่ครบถ้วน ทีมขายก็จะสามารถติดตามดีลและดำเนินการต่อได้อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น หากลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับดีลเดิม ทีมขายสามารถดึงข้อมูลจาก CRM มาช่วยตอบได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

2. Lead Generation & Management Tools

Lead Generation จะช่วยในการดึงดูดและจัดการลูกค้ามุ่งหวัง (Lead) ตั้งแต่การค้นหาลูกค้าใหม่ไปจนถึงการจัดลำดับความสำคัญของลูกค้าที่มีโอกาสปิดดีลได้สูง

Management Tool จะช่วยติดตามว่า Lead แต่ละรายอยู่ในขั้นตอนไหนของกระบวนการขาย เช่น เพิ่งเริ่มสนใจ ได้รับข้อเสนอแล้ว หรือใกล้จะปิดดีลแล้ว ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ทีมขายโฟกัสที่ลูกค้าที่มีศักยภาพสูงสุด ทำให้ไม่พลาดโอกาสสำคัญในการขาย

3. Sales Automation

งานขายหลายอย่างที่ต้องทำซ้ำบ่อย ๆ สามารถใช้ระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยลดภาระ เช่น

  • การส่งอีเมลติดตามผลหรือขอบคุณลูกค้า
  • การแจ้งเตือนทีมขายเกี่ยวกับดีลที่ต้องดำเนินการ
  • การอัปเดตสถานะดีลโดยอัตโนมัติ

ระบบอัตโนมัติทำให้ทีมขายมีเวลามากขึ้นในการโฟกัสกับงานที่สำคัญ เช่น การเจรจากับลูกค้า และการปิดดีล แทนที่จะเสียเวลากับงานเอกสารหรืองานซ้ำซาก

4. Communication Tools

การสื่อสารที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญในยุคที่ลูกค้ามีความคาดหวังสูง เครื่องมือสื่อสาร (Communication Tools) จึงกลายเป็นอาวุธลับของทีมขายในการเชื่อมต่อกับลูกค้าแบบเรียลไทม์ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ทีมขายสามารถให้บริการได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถาม แก้ไขปัญหา หรือแจ้งเตือนสถานะคำสั่งซื้อ

ตัวอย่างของเครื่องมือที่ได้รับความนิยมมีดังนี้:

  • Chatbots:
    แชตบอตทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยอัตโนมัติในการตอบคำถามพื้นฐาน เช่น สถานะการสั่งซื้อ โปรโมชั่นที่กำลังจัด หรือเวลาทำการของร้าน ลูกค้าจะได้รับการตอบกลับทันทีโดยไม่ต้องรอให้ทีมงานเข้ามาตอบด้วยตัวเอง ลดเวลารอและเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า
  • LINE Integration:
    การเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง LINE ทำให้ทีมขายสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความส่วนตัว ตอบคำถาม หรือแจ้งโปรโมชั่น ลูกค้าที่ติดต่อตามช่องทางที่คุ้นเคยจะรู้สึกสบายใจและไว้วางใจในการทำธุรกรรมมากขึ้น
  • Email & SMS Campaign Tools:
    นอกจากแชตบอตและ LINE แล้ว การใช้เครื่องมือส่งอีเมลและข้อความอัตโนมัติยังช่วยติดตามลูกค้าได้อย่างเป็นระบบ เช่น การส่งอีเมลติดตามหลังจากที่ลูกค้าละทิ้งตะกร้าสินค้า หรือส่ง SMS แจ้งเตือนดีลพิเศษให้กับลูกค้าประจำ
  • Video Call & Meeting Tools:
    ในกรณีที่ต้องการสื่อสารเชิงลึก เช่น การนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้า B2B หรือการเจรจาดีลขนาดใหญ่ เครื่องมืออย่าง Zoom หรือ Microsoft Teams ก็เป็นตัวช่วยสำคัญ ทำให้การประชุมระยะไกลเกิดขึ้นได้อย่างราบรื่นแม้ไม่ได้เจอหน้ากัน

ประโยชน์ของ Communication Tools คือการสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับลูกค้า ช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าธุรกิจของคุณพร้อมให้บริการเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน การตอบกลับอย่างรวดเร็วและตรงจุดยังช่วยสร้างความประทับใจและเพิ่มโอกาสในการปิดการขายมากขึ้น

5. Reporting & Analytics Tools

เครื่องมือสร้างรายงานและวิเคราะห์ข้อมูลมีความสำคัญในการช่วยให้ทีมขายมองเห็นแนวโน้มและประสิทธิภาพการขายของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น

ด้วยข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับจากการวิเคราะห์ เช่น ดีลใดที่มีโอกาสปิดสูงสุด หรือผลิตภัณฑ์ใดที่ลูกค้าสนใจมากที่สุด ทีมขายสามารถปรับกลยุทธ์การขายได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้บริหารสามารถติดตามผลการดำเนินงานของทีมขาย และวางแผนเพื่อพัฒนาในอนาคต

Google Analytics

ประโยชน์ของการใช้ Sales Tool

การใช้ Sales Tool ไม่ใช่แค่การเพิ่มประสิทธิภาพในการขาย แต่ยังช่วยให้ทีมขายทำงานได้ง่ายขึ้นและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว มาดูกันว่าเครื่องมือเหล่านี้มีประโยชน์อย่างไรบ้างสำหรับทีมขายและธุรกิจในภาพรวม

1. ประหยัดเวลา ลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน

Sales Tool ช่วยให้ทีมขายไม่ต้องเสียเวลากับงานที่ทำซ้ำ ๆ เช่น การจดบันทึกข้อมูลด้วยมือ หรือการติดตามลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ ทีละรายการ เช่น การส่งอีเมลติดตามลูกค้า ระบบอัตโนมัติสามารถช่วยจัดการได้ทั้งหมด ทำให้ทีมขายมีเวลามากขึ้นในการโฟกัสกับสิ่งสำคัญ เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและการปิดดีล

2. เพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำของทีมขาย

Sales Tool ทำให้ทีมขายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะมีข้อมูลที่อัปเดตอยู่เสมอ เช่น รายละเอียดของลูกค้าและสถานะของดีล ทีมขายจึงสามารถติดตามดีลได้แบบเรียลไทม์และลดโอกาสพลาดโอกาสสำคัญ นอกจากนี้ ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติยังช่วยเตือนให้ทีมดำเนินการตามกำหนด เช่น ติดตามลูกค้าที่แสดงความสนใจ เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย

3. การวิเคราะห์และคาดการณ์แนวโน้มการขาย (Sales Forecasting)

ด้วยเครื่องมืออย่าง Reporting & Analytics ธุรกิจสามารถรวบรวมข้อมูลการขายและนำมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวโน้มในอนาคต เช่น ผลิตภัณฑ์ไหนขายดีในช่วงไหน หรือดีลประเภทใดมีโอกาสสำเร็จสูงที่สุด การคาดการณ์ที่แม่นยำช่วยให้ทีมขายสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ และเตรียมกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด

4. ปรับปรุงความสัมพันธ์กับลูกค้า

Sales Tool อย่าง CRM ช่วยให้ธุรกิจมีข้อมูลลูกค้าอย่างครบถ้วน ทำให้ทีมขายสามารถเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น หากลูกค้าเคยซื้อสินค้าบางอย่างในอดีต ระบบจะช่วยแนะนำสินค้าที่ตรงกับความสนใจเพิ่มเติม หรือแจ้งเตือนทีมขายเมื่อลูกค้าไม่ได้สั่งซื้อซ้ำในระยะเวลานาน เพื่อให้สามารถติดตามและดูแลลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด

5. การทำงานเป็นทีมที่ดีขึ้น (Collaboration)

เครื่องมือหลายประเภท เช่น CRM หรือ Lead Management Tools ทำให้ทีมขายและแผนกอื่น ๆ สามารถแชร์ข้อมูลกันได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลดีล ข้อเสนอ หรือสถานะของลูกค้า ข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในระบบกลาง ทำให้ทุกคนในทีมสามารถเข้าถึงได้ง่าย ช่วยลดความผิดพลาดและความล่าช้าในการสื่อสาร

6. ลดต้นทุนในระยะยาว

แม้ว่า Sales Tool จะมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษา แต่เมื่อมองในระยะยาว เครื่องมือเหล่านี้ช่วยลดต้นทุนในการทำงานได้มาก เช่น ลดเวลาที่ใช้ในการทำงานซ้ำซ้อน ลดความผิดพลาดในการจัดการดีล และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

7. เพิ่มโอกาสในการรักษาลูกค้า (Customer Retention)

การตอบสนองที่รวดเร็วและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพผ่านเครื่องมือต่าง ๆ เช่น Chatbots หรือ LINE Integration ทำให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจและพร้อมกลับมาใช้บริการซ้ำ นอกจากนี้ การติดตามพฤติกรรมของลูกค้าอย่างใกล้ชิดช่วยให้ธุรกิจสามารถนำเสนอโปรโมชั่นหรือดีลพิเศษได้ตรงกับความต้องการ ช่วยรักษาลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการขายต่อเนื่อง

8. สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

ธุรกิจที่ใช้ Sales Tool จะได้เปรียบคู่แข่งที่ยังพึ่งพาวิธีการขายแบบดั้งเดิม เนื่องจากทีมขายสามารถตอบสนองลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ มีข้อมูลพร้อมสำหรับการตัดสินใจ และวางแผนกลยุทธ์การขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Sales Tool เหมาะสำหรับธุรกิจประเภทไหน และเอาไปใช้งานจริงอย่างไร?

การใช้ Sales Tool ไม่ได้จำกัดแค่ในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง แต่สามารถปรับใช้กับอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ช่วยแก้ปัญหาในแต่ละบริบทที่แตกต่างกัน

อุตสาหกรรมอะไหล่ยนต์

ธุรกิจจำหน่ายอะไหล่ยนต์ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาลูกค้าเก่า เช่น การติดตามลูกค้าที่อาจไม่กลับมาใช้บริการในอนาคต ระบบ CRM ผสานกับ AI ช่วยคาดการณ์ว่าลูกค้ารายไหนอาจหยุดใช้บริการ โดยทีมขายสามารถส่งโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ส่วนลดในครั้งถัดไปหรือบริการติดตั้งฟรี เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้ง

นอกจากนี้ การใช้ Sales Automation ยังช่วยเตือนให้ทีมบริการติดต่อหาลูกค้า เช่น แจ้งเตือนเมื่อลูกค้าถึงกำหนดเปลี่ยนอะไหล่ หรือจัดทำการส่งเสริมการขายในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งช่วยเสริมความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดีขึ้น

ธุรกิจ B2B

ในธุรกิจที่เน้นการขายระหว่างบริษัท (B2B เช่น ผู้ผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรม) การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าและการจัดการดีลที่ซับซ้อนเป็นเรื่องสำคัญ เครื่องมือ CRM จะช่วยให้ทีมขายติดตามสถานะของดีลได้อย่างละเอียด เช่น ใครเป็นผู้รับผิดชอบขั้นตอนไหน หรือดีลใดกำลังรอการอนุมัติ

เมื่อดีลอยู่ในระยะวิกฤติ เช่น ใกล้หมดอายุของข้อเสนอ ระบบสามารถแจ้งเตือนให้ทีมขายติดตามและเร่งดำเนินการได้ทันที ทำให้ทีมขายไม่พลาดโอกาสสำคัญ และช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ

E-Commerce

ธุรกิจ E-commerce

สำหรับธุรกิจ E-commerce จะไม่ค่อยเหมาะกับเครื่องมือ Sales Tools ที่เป็น Sales CRM ซะทีเดียว แต่จะเหมาะสมกับ Marketing Tools มากกว่า เพราะใน ธุรกิจ E-commerce มักต้องการสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า เครื่องมือ Marketing Automation ช่วยติดตามพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า เช่น สินค้าใดที่ลูกค้าเพิ่มลงในตะกร้าแต่ยังไม่ได้ซื้อ ระบบสามารถส่งอีเมลหรือ SMS ติดตามโดยอัตโนมัติพร้อมส่วนลดพิเศษ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ

อสังหาริมทรัพย์

ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การติดตามลูกค้าที่สนใจโครงการต่าง ๆ เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากการตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโดมักใช้เวลานาน Lead Management Tools จะช่วยให้ทีมขายจัดการ Lead ได้มีประสิทธิภาพ เช่น แบ่งกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจสูงออกจากกลุ่มที่ยังลังเล และส่งข้อมูลหรือข้อเสนอเฉพาะเจาะจงตามความต้องการของแต่ละกลุ่ม

นอกจากนี้ ระบบยังช่วยเตือนให้ทีมขายติดตามลูกค้าในช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น หลังจากเข้าชมโครงการหรือแสดงความสนใจ เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้อย่างทันท่วงที

การเลือกใช้ Sales Tool ควรพิจารณาเรื่องใดบ้าง?

การเลือก Sales Tool ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะมีผลต่อการทำงานและความสำเร็จในการขายของทีมเรา ในการตัดสินใจเลือกใช้งาน ควรพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องมือที่เลือกจะตอบโจทย์และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขายได้อย่างแท้จริง

ความเหมาะสมกับธุรกิจของคุณ

ก่อนอื่น คุณต้องพิจารณาว่าเครื่องมือที่เลือกนั้นเหมาะกับลักษณะและขนาดของธุรกิจคุณหรือไม่ หากธุรกิจของคุณเป็นสตาร์ทอัปที่มีขนาดเล็ก เครื่องมือที่มีฟีเจอร์ครบครันแต่ซับซ้อนอาจไม่เหมาะสม ในขณะที่ธุรกิจใหญ่หรือมีหลายสาขาอาจต้องการฟีเจอร์ที่หลากหลาย เช่น การจัดการดีลหลายระดับและรายงานที่ละเอียด

คุณควรสำรวจว่าเครื่องมือที่คุณสนใจมีฟีเจอร์ที่ตรงกับความต้องการ เช่น ระบบ CRM ที่ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้า การวิเคราะห์แนวโน้มการขาย หรือแม้แต่การติดตามการทำงานของทีมขาย

การใช้งานง่ายและรองรับการเติบโตของทีม

การใช้งานเครื่องมือควรมีความสะดวกและไม่ซับซ้อนเกินไป ทีมงานของคุณควรสามารถเรียนรู้และใช้งานได้อย่างรวดเร็ว เครื่องมือที่ซับซ้อนเกินไปอาจทำให้ทีมขายรู้สึกเบื่อหน่ายและไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

คุณควรพิจารณาว่าเครื่องมือที่เลือกมีศักยภาพในการรองรับการเติบโตของทีมในอนาคตหรือไม่ ถ้าทีมของคุณเติบโตขึ้น จะสามารถเพิ่มผู้ใช้และฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นไหม

การเชื่อมต่อกับเครื่องมืออื่น

อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญคือความสามารถในการเชื่อมต่อกับเครื่องมืออื่น ๆ ที่คุณใช้ในธุรกิจ เช่น ระบบ ERP หรือเครื่องมือ LINE Chat หากเครื่องมือ Sales Tool สามารถทำงานร่วมกับระบบที่คุณมีอยู่แล้วได้อย่างราบรื่น จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การเชื่อมต่อ CRM กับระบบ ERP ช่วยให้การจัดการสต๊อกและการขายมีความเชื่อมโยงกัน ทำให้คุณสามารถติดตามสถานะของสินค้าได้ตลอดเวลา

ราคาและการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ

แน่นอนว่าเรื่องของราคาเป็นสิ่งที่คุณต้องคำนึงถึง ควรเปรียบเทียบราคาและคุณภาพของเครื่องมือต่าง ๆ รวมถึงบริการหลังการขายที่ผู้ให้บริการเสนอให้ หากคุณต้องการฟีเจอร์ที่หลากหลายและการสนับสนุนที่ดี อาจต้องลงทุนมากขึ้น แต่ถ้าเป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและมีฟีเจอร์พื้นฐานเพียงพอ ราคาที่ถูกกว่าอาจเป็นตัวเลือกที่ดี

นอกจากนี้ การดูรีวิวจากผู้ใช้งานจริง หรือการทดลองใช้งาน (Free Trial) ก็เป็นวิธีที่ดีในการประเมินว่าเครื่องมือนั้นสามารถตอบสนองความต้องการของธุรกิจคุณได้จริงหรือไม่

ความปลอดภัยและการรักษาข้อมูล

เรื่องความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากคุณจะเก็บข้อมูลที่ละเอียดเกี่ยวกับลูกค้า เช่น รายชื่อ อีเมล และประวัติการซื้อ คุณจึงควรตรวจสอบว่าเครื่องมือที่เลือกมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหรือตกอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดี

ความสามารถในการวิเคราะห์และรายงาน

การเลือกเครื่องมือที่มีฟีเจอร์การวิเคราะห์และรายงานที่ดี จะช่วยให้คุณติดตามประสิทธิภาพการขายและทำความเข้าใจแนวโน้มต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เครื่องมือที่ดีจะสามารถสร้างรายงานที่ตรงไปตรงมา ทำให้คุณเห็นภาพรวมของการทำงานของทีม และช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงกลยุทธ์การขายได้ตามข้อมูลที่ได้รับ

อนาคตของ Sales Tool และเทรนด์ที่น่าจับตา (Future Trends)

การพัฒนาเทคโนโลยีมีผลต่อรูปแบบการทำงานและการขายอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่า Sales Tool ก็ไม่ได้หลุดออกจากกระแสนี้ ในอนาคต เราจะเห็นแนวโน้มและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาช่วยยกระดับการขายและการบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มาดูกันว่าในอนาคตจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง

Artificial Intelligence

1. AI และ Machine Learning: วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าอย่างลึกซึ้ง

หนึ่งในเทรนด์ที่สำคัญที่สุดคือการนำ Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning เข้ามาใช้ใน Sales Tool ซึ่งจะช่วยในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าอย่างละเอียดมากขึ้น เครื่องมือเหล่านี้สามารถติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลการซื้อและความสนใจของลูกค้า ทำให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์แนวโน้มการซื้อของลูกค้าในอนาคตได้อย่างแม่นยำ

ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกค้ามีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลหรือโปรโมชั่น เครื่องมือ AI สามารถแจ้งเตือนทีมขายหรือส่งข้อเสนอไปยังลูกค้าได้ทันที ช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขายและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า

2. Chatbots ที่ฉลาดขึ้น: ทำงานแทนคนได้มากขึ้น

Chatbots เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่กำลังมาแรง โดยเฉพาะในด้านการสื่อสารกับลูกค้า เทรนด์ในอนาคตจะเห็น Chatbots ที่มีความสามารถในการเข้าใจและตอบสนองต่อคำถามของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการนำ AI เข้ามาใช้เพื่อให้สามารถเข้าใจภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) ได้มากขึ้น

ตัวอย่างเช่น ลูกค้าสามารถถามคำถามเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ และ Chatbot จะสามารถให้คำตอบที่ถูกต้องและตรงประเด็นได้ทันที ช่วยลดภาระการทำงานของทีมบริการลูกค้าและทำให้ลูกค้าสามารถรับข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

3. Integration with Social Platforms: ขายตรงผ่านโซเชียลมีเดีย

ในยุคที่โซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในการติดต่อสื่อสารและการตลาด การรวม เครื่องมือการขาย กับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจะเป็นอีกหนึ่งแนวโน้มที่น่าสนใจ เช่น การขายผ่าน Facebook, Instagram, หรือ LINE ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่างเช่น ลูกค้าสามารถติดต่อซื้อสินค้าผ่านทางแชทในโซเชียลมีเดียได้เลย ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดขั้นตอนการทำงาน แต่ยังช่วยให้การซื้อขายเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

4. Mobile Sales Tools: ทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา

แน่นอนว่าในยุคที่เราต้องการความสะดวกสบาย การมี Mobile Sales Tools จะเป็นสิ่งที่ธุรกิจควรให้ความสำคัญ โดยเครื่องมือที่รองรับการใช้งานบนมือถือจะทำให้ทีมขายสามารถทำงานได้จากทุกที่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถติดตามข้อมูลลูกค้า ตรวจสอบดีล หรือส่งอีเมลได้อย่างง่ายดาย

นอกจากนี้ ยังช่วยให้ทีมขายสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ตามสถานการณ์ เช่น ถ้าเห็นโอกาสในระหว่างการเดินทาง ก็สามารถติดต่อกับลูกค้าได้ทันที

5. Customer Experience (CX) Focus: ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า

อนาคตของ เครื่องมือการขาย จะมีการเน้นที่การปรับปรุง Customer Experience (CX) อย่างมากขึ้น โดยเครื่องมือที่เลือกจะต้องมีฟีเจอร์ที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เช่น ระบบที่สามารถให้คำแนะนำสินค้าที่เหมาะสมตามพฤติกรรมของลูกค้า หรือการนำเสนอข้อมูลที่ตรงตามความต้องการในเวลาที่เหมาะสม

การปรับปรุง CX ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาลูกค้าและสร้างความภักดีต่อแบรนด์

6. การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล: สิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

ด้วยการเพิ่มขึ้นของข้อมูลและการใช้งานระบบออนไลน์ ทำให้การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเป็นสิ่งที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญในอนาคต เครื่องมือการขาย ที่ดีจะต้องมีระบบความปลอดภัยที่เข้มงวด เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าและป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ประสงค์ดี

การให้ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลแก่ทีมงานและลูกค้า รวมถึงการใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูล ก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย

Wisible Interface
Wisible: Revenue Intelligence (CRM)

หากคุณกำลังมองหา CRM ที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการจัดการข้อมูลลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ, การเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย, หรือการวิเคราะห์ยอดขายแบบเจาะ Wisible คือคำตอบที่คุณไม่ควรมองข้าม

ลองมาสัมผัสประสบการณ์การใช้งาน Wisible ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ทีมขายของคุณทำงานได้ง่ายขึ้นและเพิ่มโอกาสในการปิดการขายให้มากขึ้น ได้ที่นี่!

demo booking

รับข่าวสารและโปรโมชั่นสุดพิเศษ

กรอกอีเมลเพื่อรับข่าวสารและกิจกรรมพิเศษ

Similar Posts