ROI ตัวชี้วัดสำคัญในการตัดสินใจลงทุน
Riki Kimura
Digital Marketing Executive at Wisible
การตัดสินใจลงทุนอะไรสักอย่าง ก็ย่อมคาดหวังผลตอบแทนที่คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ การลงทุนในโครงการ หรือการลงทุนในการตลาด การลงทุนเหล่านี้ล้วนมีต้นทุนและความเสี่ยง ดังนั้น ธุรกิจจึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือในการวัดประสิทธิภาพของการลงทุน เพื่อประเมินได้ว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่ หนึ่งใน metric ที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพของการลงทุนคือ ROI หรือ Return on Investment
สมมติว่าคุณเป็นพ่อค้าขายข้าวมันไก่ คุณเปิดร้านข้าวมันไก่มาสักพักหนึ่งแล้ว ยอดขายก็เริ่มนิ่งๆ ไป คุณกำลังคิดจะลงทุนซื้อเครื่องปั่นน้ำผลไม้เพิ่ม เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายและดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ
คุณลองคำนวณดูว่า หากซื้อเครื่องปั่นน้ำผลไม้มา+โต๊ะ+อุปกรณ์อื่นๆ จะต้องลงทุนประมาณ 3,000 บาท คุณคาดว่าเครื่องปั่นน้ำผลไม้จะช่วยให้ยอดขายเพิ่มได้เดือนละ 10,000 บาท เท่ากับว่าการลงทุนครั้งนี้จะทำให้คุณได้รับผลตอบแทน 10,000 – 3,000 = 7,000 บาท ต่อเดือน
ทีนี้หลายๆท่านก็น่าจะเข้าใจคร่าวๆแล้วว่า ROI นั้นมีไว้เพื่ออะไรและสำคัญยังไง ทีนี้มีเจาะลึกลงอีกนิดว่า ROI นั้นจริงๆแล้วคืออะไร?
ROI คืออะไร ?
ROI ย่อมาจาก Return on Investment ซึ่งหมายถึง ผลตอบแทนจากการลงทุน เป็นอัตราส่วนระหว่างผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนกับค่าใช้จ่ายที่ใช้ไป ใช้ในการวัดประสิทธิภาพของการลงทุน โดยผลตอบแทนที่ได้รับนั้นอาจวัดเป็นมูลค่าเงินสด กำไร หรือประโยชน์อื่นๆ
โดยยิ่งค่า ROI สูงมากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะแปลว่าคุณจะยิ่งได้กำไรจากการลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะต่างจาก Conversion rate(ยิ่งน้อยยิ่งดี)
การคำนวณ ROI
ในการคำนวณ ROI นั้น จำเป็นต้องกำหนดผลตอบแทนที่ได้รับ ค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปให้ชัดเจน และกำหนดช่วงเวลา(Time frame) ผลตอบแทนที่ได้รับนั้นอาจวัดเป็นมูลค่าเงินสด เช่น กำไรสุทธิ รายได้ ยอดขาย หรือวัดเป็นประโยชน์อื่นๆ เช่น การเพิ่มยอดขาย การปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปนั้นอาจรวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าโฆษณา หรือ การตลาด
สูตรการคำนวณ ROI มีดังนี้
ROI = (ผลตอบแทนที่ได้รับ – ค่าใช้จ่าย) / ค่าใช้จ่าย
ซึ่งหากใช้ตัวอย่างด้านบน ในกรณีนี้ ROI ของคุณคือ 7,000 หาร 3,000 = 2.333 คิดเป็น % ก็จะได้ประมาณ 233.33%
แปลว่าการลงทุนซื้อเครื่องปั่นน้ำผลไม้ในครั้งนี้ของคุณคุ้มค่า เพราะคุณจะได้รับผลตอบแทนเป็นกำไร 233.33%
กลับกัน เจ้าของโรงงานทำน้ำแข็งแห่งหนึ่ง ลงทุนซื้อเครื่องทำน้ำแข็งอัตโนมัติ คาดว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานไป 300,000 บาทต่อปี และค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องทำน้ำแข็งอยู่ที่ 400,000 บาท ROI ของการลงทุนครั้งนี้อยู่ที่ 300,000 – 400,000 = -100,000 หารด้วยต้นทุน (400,000 บาท) ค่า ROI ที่ได้คือ -0.25 หรือ -25% แสดงว่าการลงทุนครั้งนี้ขาดทุน 25%
แต่ก็อาจจะไม่ขาดทุนเสมอไป เพราะการลงทุนครั้งนี้อาจจะยังคุ้มค่าอยู่ก็ได้ หากพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น คุณภาพของน้ำแข็งที่ผลิตจากเครื่องทำน้ำแข็งอัตโนมัติ ประสิทธิภาพในการทำงาน และระยะเวลาที่เครื่องทำน้ำแข็งอัตโนมัติทำงาน ซึ่งหากมองในระยะยาว เครื่องทำน้ำแข็งอัตโนมัติสามารถผลิตน้ำแข็งได้เร็วกว่าใช้คนงาน ทำให้ยอดขายเพิ่ม การลงทุนครั้งนี้อาจจะคุ้มค่าได้เช่นกัน
ประโยชน์ของ ROI
ROI มีประโยชน์หลายประการต่อธุรกิจ ดังนี้
- ช่วยประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน ROI ช่วยให้ธุรกิจสามารถประเมินได้ว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่าหรือไม่ โดยเปรียบเทียบผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนกับค่าใช้จ่ายที่ใช้ไป หาก ROI มีค่าสูง แสดงว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่า
- ช่วยเปรียบเทียบการลงทุนหลายประเภท เพื่อเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด โดยพิจารณาจาก ROI ของแต่ละการลงทุน
- ช่วยกำหนดเป้าหมายการลงทุน โดยกำหนดเป้าหมาย ROI ที่ต้องการไว้ล่วงหน้า จะช่วยให้ธุรกิจสามารถประเมินได้ว่าการลงทุนนั้นประสบความสำเร็จหรือไม่
- ช่วยติดตามผลการดำเนินงานของการลงทุน
ข้อจำกัดของ ROI
ROI เป็น metric ที่มีประโยชน์ในการวัดประสิทธิภาพของการลงทุน แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการ เช่น
- ROI ไม่สามารถวัดผลตอบแทนที่ไม่สามารถคำนวณเป็นมูลค่าเงินสดได้ เช่น ผลตอบแทนด้านชื่อเสียงหรือภาพลักษณ์ของแบรนด์
- ROI ไม่สามารถวัดผลตอบแทนระยะยาวได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากผลตอบแทนจากการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี หรือพฤติกรรมของผู้บริโภค
เทคนิคการปรับปรุง ROI
ธุรกิจสามารถปรับปรุง ROI ได้หลายวิธี เช่น
- เลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำมักจะให้ ROI ที่ต่ำกว่าการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำมักมีความแน่นอนมากกว่าและมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูงกว่า
- กำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน การกำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจนจะช่วยให้ธุรกิจสามารถประเมินได้ว่าการลงทุนนั้นประสบความสำเร็จ หรือ บรรลุเป้าหมายทั้ตั้งไว้หรือไม่
- ติดตามผลการดำเนินงานของการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถระบุปัญหาหรือโอกาสในการปรับปรุง ROI หากธุรกิจพบว่าการลงทุนนั้นไม่ได้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
- หาเครื่องมมือเข้ามาช่วย ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือที่ว่านี้คือ Sales CRM (โปรแกรมบริหารงานขาย) ที่จะช่วยให้คุณ ติดตามผลการดำเนินงานของการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปิดการขายได้เร็วขึ้น และประหยัดค่าใช้จ่ายในการขาย และ ถ้าคุณกำลังมองหา Sales CRM อยู่ ผมขอแนะนำ Wisible the Business Clarify ที่จะช่วยให้ ธุรกิจคุณ แก้ไขการรั่วไหลของการขาย ปรับปรุงประสิทธิภาพการขาย และ เพิ่ม visibility ของผู้บริหาร ให้มองเห็นภาพรวมของการขาย
แท้จริงแล้ว Wisible นั้นทำได้มากกว่า Sales CRM ทั่วไป เพราะ Sales CRM ส่วนใหญ่จะจบที่การปิดการขายกับลูกค้าเท่านั้น และ Wisible รู้ดีกว่าขั้นตอนการขายมีมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ส่งมอบสินค้า บริการที่ตกลงไว้ หรือ วางบิล รับเช็ค เก็บตัง และกระบวนการทั้งหมดจะจบลงก็ต่อเมื่อ Money in the bank เท่านั้น
หากยังไม่แน่ใจว่าใช้ Wisible แล้วจะคุ้มค่ายังไง ลองคำนวน ROI ได้ที่นี่
ROI เป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดประสิทธิภาพของการลงทุน ช่วยให้ธุรกิจสามารถประเมินได้ว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่าหรือไม่ ROI ที่สูงย่อมหมายถึงการลงทุนที่คุ้มค่า แต่ ROI นั้นไม่ได้เป็นตัวชี้วัดเพียงอย่างเดียวที่ควรพิจารณาในการตัดสินใจลงทุน ธุรกิจควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบกัน เช่น ความเสี่ยงของการลงทุน และ ระยะเวลาคืนทุนด้วย