KPI คืออะไร? บทเรียนความสำเร็จยอดขายที่คุณต้องรู้

Riki Kimura wisible author

Riki Kimura

Digital Marketing Executive at Wisible

KPI คืออะไร?
KPI คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อองค์กรธุรกิจ

KPI คืออะไร ?

KPI ย่อมาจาก Key Performance Indicator คือ ตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพซึ่งใช้ในการวัดผล วัดคุณภาพ หรือเป็นตัวชี้วัดคุณภาพงานในแต่ละประเภท ตัวชี้วัดนี้จะมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไปตามรูปแบบของธุรกิจ หรือความต้องการของผู้วัดผล โดยสามารถวัดผ่านการประมวลผลออกมาเป็นตัวเลขที่ชัดเจน ผ่าน 3 หลักการที่เป็นหัวใจหลัก ดังนี้

K = Key หมายถึง เป้าหมายหลัก ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ
P = Performance หมายถึง  ประสิทธิภาพ หรือ ประสิทธิผล ซึ่งเป็นความสามารถในการทำงานขององค์กรนั้นๆ
I = Indicator หมายถึง ตัวชีวัดหรือดัชนีชี้วัด วัดผลงานและความสำเร็จของงาน

what is KPI

ความสำคัญของ KPI ในงานขาย

เคยสงสัยไหมว่าทำไมเราถึงต้องมี KPI หรือตัวชี้วัดผลการทำงานหลักในงานขาย? คำตอบง่ายๆ ก็คือ KPI เหมือนเป็นตัวช่วยที่ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าทีมของเราทำงานกันอย่างไร และเราควรปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งไหนบ้างเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยอดขายที่เพิ่มขึ้น, การเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ, หรือแม้แต่การบริหารเวลาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประเภท และการทำงานของ KPI

การทำงานของ KPI แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่วัดผลชัดเจน และ ประเภทที่ใช้วัดผลทางอ้อม โดยทั้ง 2 ประเภท เป็นตัวชี้วัดที่มีแนวทางการทำงานแตกต่างกัน ดังนี้

  1. KPI ประเภทวัดผลชัดเจน เป็นแนวทางการวัดผลทางตรง ผ่านสถิติมีตัวเลขแสดงค่าตามหลักสถิติ สามารถตรวจสอบที่มาของตัวเลขได้ เช่น จำนวนการขาด-ลา ของพนักงาน หรือจำนวนการผลิตสินค้า
  2. KPI ประเภทที่ใช้วัดผลทางอ้อม เป็นแนวทางการวัดผลผ่านภาพรวม ซึ่งไม่มีตัวเลขชัดเจนไม่สามารถตรวจสอบเป็นตัวเลขได้ แต่จะวัดผลผ่านการประเมินจากความพึงพอใจ เช่น  พฤติกรรมการทำงาน ความรู้ความสามารถในการทำงาน หรือความนิยมในตัวผลิตภัณฑ์และสินค้านั้นๆ
การเลือก KPI ที่เหมาะสมสำหรับฝ่ายขาย
การเลือก KPI ที่เหมาะสมสำหรับฝ่ายขาย

การเลือก KPI ที่เหมาะสมสำหรับฝ่ายขาย

การเลือก KPI สำหรับทีมขายของเรานั้นไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้เลยง่ายๆ ครับ ต้องคิดและวิเคราะห์กันหน่อยว่าเราต้องการมองเห็นอะไรบ้างจากการทำงานของทีม ไม่ว่าจะเป็นการขยายยอดขาย, ความไวในการตอบกลับลูกค้า, หรือการหาโอกาสใหม่ๆ ในการขาย การตั้ง KPI ที่เหมาะสมก็เลยเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพราะมันช่วยให้ทีมของเรามีเป้าหมายชัดเจน และทำให้เราติดตามผลการทำงานได้จริงๆ และจับต้องได้

ตัวอย่าง KPI สำหรับทีมขายและวิธีการใช้งาน

เมื่อพูดถึงการวาง KPI สำหรับทีมขาย ต้องเข้าใจว่ามีหลายตัวชี้วัดที่สามารถช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนของการทำงานและผลลัพธ์ที่ตามมา ตัวอย่างเช่น

  • ยอดขายรวม ซึ่งเป็นตัวชี้วัดพื้นฐานที่แสดงถึงรายได้ทั้งหมดที่ทีมสามารถสร้างได้ในช่วงเวลาหนึ่ง
  • อัตราการแปลงลูกค้า (conversion rate) ซึ่งวัดจากจำนวนลูกค้าที่เริ่มต้นแสดงความสนใจกับผลิตภัณฑ์ของเราและจบลงด้วยการซื้อสินค้า ตัวชี้วัดนี้ช่วยให้เราเห็นว่าทีมขายมีประสิทธิภาพในการปิดการขายมากน้อยแค่ไหน
  • จำนวนการติดต่อใหม่ ที่ได้มาเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่สำคัญ เพราะมันบอกเราว่าทีมขายของเราสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาได้มากเท่าไร และเป็นตัวชี้วัดที่ดีต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
  • เวลาที่ใช้ในการปิดการขาย ซึ่งบ่งบอกถึงความเร่งด่วนและประสิทธิภาพในการจัดการลูกค้าของทีมขาย ตัวชี้วัดนี้ช่วยให้เราปรับแนวทางการขายให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละกลุ่มได้

เมื่อเรามี KPI ที่ตั้งไว้แล้ว ก็ควรจะนำมาใช้งานผ่านระบบ CRM ที่บริษัทเรามี มันจะช่วยให้เราติดตามผลได้ชัดเจนและเห็นความเคลื่อนไหวของตัวเลขที่อัปเดตตลอดเวลา ทุกคนในทีมก็จะเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น และใช้มันในการปรับปรุงวิธีทำงานของตัวเอง ทำให้ตรงกับเป้าหมายที่บริษัทต้องการ และตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เรื่องดีๆ แบบนี้มันช่วยให้ทีมขายของเราทำงานได้ดีขึ้นไม่ใช่แค่นั้น แต่ยังทำให้เราเข้าใจกันและกันมากขึ้น ร่วมมือกันได้ดีขึ้นอีกด้วยครับ

เทคนิคการใช้ KPI เพื่อพัฒนายอดขาย
เทคนิคการใช้ KPI เพื่อพัฒนายอดขาย

เทคนิคการใช้ KPI เพื่อพัฒนายอดขาย

การใช้ KPI ให้ช่วยเพิ่มยอดขายนั้นไม่ใช่แค่เก็บแค่เก็บข้อมูลเฉยๆ แต่เราต้องใช้มันเป็นเครื่องมือในการวางแผนและปรับปรุงวิธีการทำงานของเราด้วย ลองนึกภาพว่าเรามีตัวเลขที่บอกว่าอะไรคือสิ่งที่เราทำได้ดีและไม่ดี จากนั้นเราก็สามารถนำข้อมูลนั้นไปใช้ในการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงการทำงาน ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเห็นว่าอัตราการแปลงลูกค้าเป็นการขายยังไม่ดีเท่าที่ควร เราก็อาจจะต้องหาวิธีใหม่ๆ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือปรับปรุงการบริการหลังการขาย

นอกจากนี้เรายังสามารถใช้ KPI เพื่อตั้งเป้าหมายสำหรับทีมขายได้ด้วย การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้ทุกคนในทีมมีทิศทางที่ตรงกัน และเมื่อเราตั้งเป้าหมายที่ตรงกับข้อมูลจาก KPI แล้ว เราก็สามารถติดตามความก้าวหน้าและเห็นได้ชัดเจนว่าทีมของเรากำลังทำงานไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ และหากไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เราก็มีข้อมูลที่ชัดเจนในการปรับปรุง

การวิเคราะห์และปรับปรุง KPI อย่างต่อเนื่อง
การวิเคราะห์และปรับปรุง KPI อย่างต่อเนื่อง

การวิเคราะห์และปรับปรุง KPI อย่างต่อเนื่อง

ใช้ KPI ในการขายเหมือนกับการใช้เข็มทิศในการเดินทางครับ มันไม่ใช่แค่ตั้งค่าแล้วลืมไป แต่เราต้องเช็กบ่อยๆ ว่าเรายังอยู่บนเส้นทางที่ต้องการไหม และต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือไม่ ถ้าเห็นว่าทีมขายเราทำได้ดีตามที่คาดหวัง ก็ดีไป แต่ถ้ามีอะไรที่ผิดพลาด หรือมีอะไรที่เราคิดว่าสามารถทำได้ดีกว่านี้ เราก็ต้องนำข้อมูลที่ได้มาคิดว่าจะปรับอย่างไร เพื่อให้ทุกอย่างทำงานได้ดีขึ้น

เมื่อเราปรับปรุง KPI ก็เหมือนกับการเรียนรู้จากการทำงานของเราเอง บางทีเราอาจต้องเปลี่ยนวิธีการวัดผล เปลี่ยนเป้าหมายที่เราตั้งไว้ หรือแม้แต่เปลี่ยนแปลงวิธีทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ใหญ่ๆ ทุกการเปลี่ยนแปลงมีความสำคัญและช่วยให้เราพัฒนาไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ไม่ว่าตลาดหรือสถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร เราก็พร้อมที่จะปรับตัวเพื่อให้เข้ากับมัน

สรุป

การใช้ KPI ให้เป็นมันก็เหมือนเครื่องมือมหัศจรรย์ที่ช่วยให้เราทำยอดขายได้ดีขึ้น และยังช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้ด้วยครับ มันทำให้ทุกคนในทีมมีเป้าหมายเดียวกัน และช่วยกันทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นๆ มันไม่ใช่แค่ตัวเลขที่เราจดจำไว้ดูเล่นๆ แต่เป็นเสมือนแผนที่ที่บอกเราว่าทีมขายควรจะไปทางไหน และต้องปรับปรุงอะไรบ้างเพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้นๆ

ใช้ KPI อย่างฉลาดมันจะช่วยให้ทุกคนในทีมขายเห็นภาพรวมว่าเราต้องการอะไร และทำงานกันอย่างไรเพื่อให้ถึงที่หมาย อีกทั้งยังช่วยให้เราเข้าใจว่าจะต้องปรับอะไรในกระบวนการขาย ทำให้เราไม่แค่ทำยอดขายได้ดีขึ้น แต่ยังทำให้เราเข้าใจลูกค้าและตลาดของเรามากยิ่งขึ้น นี่ล่ะครับที่ทำให้ KPI สำคัญมากๆ ในการทำการตลาดและขายของเรา

demo booking

รับข่าวสารและโปรโมชั่นสุดพิเศษ

กรอกอีเมลเพื่อรับข่าวสารและกิจกรรมพิเศษ

Similar Posts