Artificial Intelligence (AI): Trend ใหม่ที่จะเปลี่ยนวิธีการทำงานและการใช้ชีวิต

Riki Kimura
Digital Marketing Executive at Wisible

ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมากมาย หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “Artificial Intelligence” หรือที่เรียกย่อๆ ว่า AI ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ AI คือ เทคโนโลยีที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถคิด เรียนรู้ และแก้ปัญหาได้เหมือนมนุษย์ นั่นเอง ซึ่งแตกต่างจากซอฟต์แวร์ธรรมดาที่ทำงานตามคำสั่งแบบตายตัว AI สามารถปรับปรุงตัวเองและเรียนรู้จากประสบการณ์ เหมือนกับที่เราเรียนรู้จากการทำงานจริง
อีกหนึ่งตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดคือระบบการแนะนำสินค้าในเว็บช้อปปิ้ง ที่แนะนำสินค้าให้เราตามพฤติกรรมการเลือกซื้อของเรา ซึ่งเป็นการใช้ AI มาวิเคราะห์ข้อมูลและแสดงผลตามความสนใจเฉพาะตัว

Artificial Intelligence (AI) คืออะไร?
Artificial Intelligence (AI) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ คือ คือระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถ “คิด” และ “เรียนรู้” คล้ายมนุษย์ โดยอาศัยข้อมูลจำนวนมากในการวิเคราะห์และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ความสามารถของ AI ทำให้ระบบต่างๆ สามารถทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องอาศัยการควบคุมจากมนุษย์
ในความเป็นจริง AI สามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้จากข้อมูลจำนวนมาก เช่น การรู้จำรูปแบบ (Pattern Recognition) การทำนายผลลัพธ์ (Prediction) หรือแม้กระทั่งการตอบสนองตามสถานการณ์เฉพาะ เช่น ถ้าเราเคยใช้ระบบ AI อย่างการสั่งงานด้วยเสียง หรือ Siri กับ Google Assistant เราจะเห็นว่าระบบจะคอยปรับปรุงคำตอบและฟังก์ชันตามการใช้งานของเรามากขึ้นเรื่อยๆ
การทำงานของระบบ AI (AI System)

ระบบ AI จริงๆ แล้วก็ทำงานเหมือนสมองของเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักร ที่ทำให้มัน “คิด” และ “ตัดสินใจ” ได้เอง ซึ่งเบื้องหลังของ AI ก็จะมีส่วนประกอบหลายอย่างครับ อย่างเช่น Machine Learning, Deep Learning, Natural Language Processing, Robotics, และ Computer Vision ซึ่งแต่ละอย่างนี้จะช่วยให้ AI เรียนรู้และโต้ตอบกับเราหรือสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น
- Machine Learning: ตัวนี้แหละที่ช่วยให้ AI เรียนรู้จากข้อมูลได้ เหมือนตอนที่เราดูหนังบน Netflix แล้วมีหนังแนวที่น่าจะถูกใจเราขึ้นมาแนะนำ นั่นเพราะระบบ Machine Learning ได้เอาข้อมูลพฤติกรรมการดูหนังของเราไปวิเคราะห์ พอเข้าใจแนวที่ชอบก็นำมาแนะนำให้ตรงกับความสนใจ
- Deep Learning : เป็นการฝึก AI ให้คิดซับซ้อนขึ้น เหมือนเวลาเราใช้แอปที่มีการจดจำใบหน้า อันนี้ก็เพราะระบบ Deep Learning เข้าใจว่าใบหน้าเรามีลักษณะเฉพาะอย่างไร เลยจำได้เวลาเราใช้แอป
- Natural Language Processing: Natural Language Processing ทำให้ AI เข้าใจภาษามนุษย์มากขึ้นครับ เหมือนเวลาเราแชทคุยกับ AI Chatbot ระบบก็จะเข้าใจคำถามที่เราพิมพ์เข้าไป แล้วตอบกลับมาแบบที่เราเข้าใจง่ายๆ บางครั้งเราถามคำถามยากๆ AI ก็ยังพอเข้าใจและตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง แม้บางครั้งอาจจะไม่ได้ตรงประเด็นเป๊ะๆ
- Robotics: AI ในหุ่นยนต์ก็เริ่มเห็นเยอะขึ้น อย่างพวกหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่ช่วยทำความสะอาดบ้าน หุ่นยนต์เหล่านี้จะใช้ AI มองเห็นแผนที่บ้าน เรียนรู้เส้นทางว่าควรวิ่งตรงไหนบ้าง ทำให้มันดูดฝุ่นได้ทั่วโดยไม่วิ่งซ้ำๆ
- Computer Vision: ถ้าจะให้นึกถึง Computer Vision ก็เหมือนเวลาที่ AI จำเพื่อนเราในรูปได้ พวกนี้คือการทำให้ AI เข้าใจภาพได้ ว่าภาพนี้เป็นใคร หรือว่าวัตถุที่เห็นคืออะไร ซึ่ง Computer Vision ก็ทำให้แอปพลิเคชันต่างๆ มีฟีเจอร์ที่สนุกและใช้งานง่ายขึ้น

เรียกได้ว่าทุกวันนี้เราเห็น AI เข้ามาช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น และก็ค่อยๆ พัฒนาไปในทุกด้านและในอนาคตอันใกล้เราคงได้ AI เข้ามามีส่วนกับทุกอย่าง
เทคโนโลยี AI (AI Technology) และการใช้งาน
เทคโนโลยี AI ทุกวันนี้ก้าวหน้าไปไกลมาก บางอย่างอาจจะเคยดูเหมือนวิทยาศาสตร์ในหนัง แต่ว่าตอนนี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตจริงของเราแล้ว AI ถูกนำมาใช้ในแทบทุกด้าน ตั้งแต่ช่วยงานในชีวิตประจำวันเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงช่วยขับเคลื่อนธุรกิจใหญ่ๆ
ตัวอย่างชัดๆ ก็อย่าง ChatGPT ที่หลายคนใช้กันในชีวิตประจำวัน ถามอะไรก็ตอบได้เร็ว แถมยังเข้าใจบริบทและคำถามได้ดี เหมือนคุยกับคนจริงๆ ทั้งสองระบบนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีความสามารถเข้าใจภาษาและตอบสนองได้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น ต่อให้เราพิมพ์แบบไม่ค่อยเป๊ะ หรือมีคำไม่ครบ AI ก็ยังสามารถจับใจความและตอบคำถามให้ตรงจุดได้
อีกหนึ่งจุดเด่นของ AI Chatbot รุ่น ChatGPT-4 คือความสามารถในการตอบกลับได้เร็วมาก ด้วยเรเจนซี่ที่ต่ำสุดๆ นั่นหมายความว่าเมื่อคุณถามคำถามหรือขอให้ทำอะไรบางอย่าง เจ้า AI นี่แหละตอบกลับได้ในทันที เหมือนกับว่าคุยอยู่กับเพื่อนสนิทเลยทีเดียว
และอีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ของ ChatGPT-4o ที่น่าสนใจคือความสามารถในการสอนโดยที่ไม่ต้องบอกคำตอบโดยตรง แต่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถค้นหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง ตัว AI ถูกออกแบบมาเพื่อนำเสนอหลักการและเทคนิคในการแก้ปัญหา, ตั้งคำถามท้าทายความคิด, และให้คำแนะนำที่เป็นขั้นตอนเพื่อนำทางผู้เรียนไปยังการค้นพบแนวทางแก้ไขด้วยตนเอง อีกหน่อยเราอาจจะได้เห็น AI สอนคลาสเรียนต่างๆแทนครูก็เป็นได้ครับ
ในโลกของธุรกิจก็เหมือนกันหลายบริษัทใช้เครื่องมือ AI นี่แหละในการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือสำคัญมากๆ สำหรับคนทำธุรกิจและการตลาด เจ้า AI จะช่วยดึงข้อมูลมหาศาลจากหลายแหล่งมาวิเคราะห์ได้ภายในเวลาไม่นาน ทำให้เราตัดสินใจทางธุรกิจได้แม่นยำยิ่งขึ้น อย่างในการทำแคมเปญการตลาดก็สามารถวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ส่งโปรโมชั่นเฉพาะกลุ่มได้อย่างตรงจุด ช่วยเพิ่มโอกาสให้แคมเปญประสบความสำเร็จมากขึ้น
ที่เจ๋งไปกว่านั้น AI ยังถูกนำไปใช้ในหลายๆ อุตสาหกรรม อย่างในวงการเงิน (Finance) AI ก็ช่วยตรวจสอบข้อมูลทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว เช่น วิเคราะห์แนวโน้มตลาด ช่วยประเมินความเสี่ยงในการลงทุน หรือตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัย ซึ่งช่วยป้องกันการทุจริตได้เยอะมาก
ประเภทของ AI (Types of AI)

ประเภทของ AI หลักๆจะมีอยู่ 3 ประเภท นั่นก็คือ Narrow AI, General AI และ Super AI แต่ละแบบก็มีความสามารถและการใช้งานที่ต่างกันไป
- Narrow AI คือ AI เฉพาะทาง อันนี้เป็น AI ที่เราเห็นกันเยอะสุดในชีวิตประจำวัน เช่น พวก ChatGPT, Siri, ระบบแนะนำหนังบน Netflix หรือระบบแนะนำสินค้าบนแพลตฟอร์มช้อปปิ้ง เจ้า Narrow AI นี้จะถูกพัฒนาให้ทำงานเก่งมากในเรื่องเฉพาะทาง เช่น ให้คำแนะนำ ตอบคำถาม หรือช่วยหาข้อมูลแบบเจาะจง แต่ถ้าให้ทำอย่างอื่นที่นอกเหนือจากนี้ก็อาจจะไม่เก่งเท่าไหร่ นึกภาพว่าเหมือนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่รู้ลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
- General AI คือ AI อเนกประสงค์ อันนี้ถือว่าขั้นกว่าของ Narrow AI ไปอีก เพราะ General AI จะมีความสามารถคิด วิเคราะห์ และเข้าใจแบบที่ใกล้เคียงกับมนุษย์จริงๆ หมายถึงมันจะสามารถเรียนรู้และปรับตัวได้กับสถานการณ์ใหม่ๆ หรือทำหลายๆ งานได้พร้อมกัน แต่ทุกวันนี้ General AI ยังอยู่ในขั้นพัฒนายังไม่ได้มีใช้ในชีวิตประจำวันเหมือน Narrow AI แต่ในอนาคตคาดว่ามันอาจจะเข้ามาช่วยงานมนุษย์ได้หลายอย่างเลย ทั้งในเรื่องของการแก้ปัญหาซับซ้อนและการวางแผนต่างๆ แบบที่คนทั่วไปทำได้
- Super AI เรียกว่าเป็น AI ที่มีความฉลาดเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่า ความสามารถระดับนี้จะไม่ใช่แค่ทำงานเฉพาะทาง หรือแก้ปัญหาได้เหมือนมนุษย์ แต่มันจะสามารถคิด วิเคราะห์ และพัฒนาไอเดียใหม่ๆ ได้แบบอิสระเองเลย มีการคาดการณ์ว่า Super AI อาจมีบทบาทในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือช่วยมนุษย์แก้ปัญหาระดับโลก แต่ในปัจจุบัน Super AI ยังอยู่ในจินตนาการและเป็นหัวข้อในการวิจัยอยู่
การใช้งานที่แตกต่างกันของ AI ในแต่ละประเภท ทำให้เราเห็นว่า AI ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การใช้งานแบบเดียว แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายขึ้นอยู่กับความต้องการ
อนาคตของ AI และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
ในอนาคต AI จะเข้ามามีบทบาทอย่างมากจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของทุกด้านในชีวิตเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสังคมหรือเศรษฐกิจเองก็จะเปลี่ยนแปลงไปมากแน่นอนครับ ลองนึกภาพดูว่า AI จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาและทำให้สิ่งที่เคยยากกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น เช่น ในวงการธุรกิจที่เริ่มใช้ AI มาช่วยบริหารจัดการลูกค้าด้วย CRM ทำให้เราสามารถคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงจุด ซึ่งนั่นก็ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจและทำให้ธุรกิจรักษาลูกค้าไว้ได้มากขึ้น
และที่เราเห็นกันในวงการ CRM ประเภท Sales CRM ได้มีการนำ AI เข้ามาช่วยในการวิเคราห์พฤติกรรมการซื้อขายของลูกค้า เพื่อคาดการณ์ยอดขาย และป้องกันไม่ให้ลูกค้าเสี่ยงจะเลิกซื้อสินค้า ถือเป็นก้าวสำคัญของการทำธุรกิจที่ต้องแข่งกันทุกวัน
นอกจากนี้ AI จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมอีกหลายด้านด้วย เช่น การแพทย์ การเกษตร การเงิน หรือแม้กระทั่งการศึกษา อย่างในภาคการแพทย์ AI สามารถช่วยวินิจฉัยโรคจากข้อมูลทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยประหยัดเวลาและลดข้อผิดพลาดในการรักษา ส่วนในภาคการเกษตร AI ช่วยทำนายสภาพอากาศ คำนวณปริมาณน้ำที่พืชต้องการ และช่วยควบคุมคุณภาพผลผลิตให้ได้ผลดีขึ้น การเงินเองก็มีการใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน ทำให้การตัดสินใจเรื่องการลงทุนมีความแม่นยำขึ้น
แต่อีกด้านที่ควรพูดถึงคือเรื่อง ความท้าทายและข้อกังวลด้านจริยธรรม ที่มาพร้อมกับ AI อย่างที่เรารู้ AI สามารถประมวลผลและเก็บข้อมูลจำนวนมากได้ภายในเวลาอันสั้น ซึ่งก็อาจทำให้หลายคนกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เพราะการใช้ข้อมูลลูกค้าอย่างถูกต้องและไม่ล้ำเส้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก นอกจากนี้การพึ่งพา AI มากเกินไปก็อาจทำให้เกิดปัญหา เช่น การสูญเสียงานในบางอาชีพที่ AI สามารถทำแทนคนได้ดีขึ้น หรือแม้กระทั่งความกังวลว่า AI อาจจะมีอิทธิพลมากเกินไปจนควบคุมได้ยาก
การพัฒนา AI ต้องมีการคำนึงถึงความปลอดภัยและจริยธรรมควบคู่กันไป เราต้องสร้างมาตรฐานและข้อกำหนดที่ชัดเจนในการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม ในมุมของคนทำธุรกิจเองก็ต้องมีความโปร่งใสในการใช้งาน AI โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดการข้อมูลลูกค้า จะได้ไม่สร้างความกังวลใจและให้ผู้ใช้งานรู้สึกมั่นใจในเทคโนโลยีนี้
สรุป
AI เป็นเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในปัจจุบัน ทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก และให้ข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำมากขึ้น ยิ่งในธุรกิจ AI ช่วยให้เรารู้จักและเข้าใจลูกค้าได้ลึกซึ้งกว่าเดิม รวมถึงคาดการณ์แนวโน้มได้ดีขึ้น ในอนาคต AI จะยิ่งก้าวล้ำและเป็นตัวแปรสำคัญที่สร้างโอกาสใหม่ ๆ ธุรกิจจึงจำเป็นต้องปรับตัวและเรียนรู้ที่จะใช้งาน AI อย่างมีจริยธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในยุคดิจิทัล